การกระชับอำนาจ ของ จักรพรรดิเปดรูที่ 2 แห่งบราซิล

การสถาปนาพระราชอำนาจ

จักรพรรดิเปดรูที่ 2 ขณะทรงมีพระชนมายุ 20 พรรษา ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบราชสำนัก ในปีค.ศ. 1846

การพ้นจากตำแหน่งของคณะผู้สำเร็จราชการที่มีความขัดแย้งได้นำมาซึ่งความมั่นคงของรัฐบาล จักรพรรดิเปดรูที่ 2 ทรงถูกมองไปทั่วประเทศในฐานะผู้ทรงพระราชอำนาจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่วางพระองค์อยู่เหนือการแบ่งพรรคแบ่งพวกและข้อพิพาทเล็กๆน้อยๆ แต่พระองค์ก็ยังทรงเป็นไม่มากไปกว่าเด็กหนุ่ม และขี้อาย ไม่มั่นคงและยังไม่เจริญพระชันษา[38] ธรรมชาติของพระองค์เป็นผลมาจากวัยเยาว์ที่แตกหัก เมื่อพระองค์ทรงมีประสบการณ์จากการถูกทอดทิ้ง เล่ห์เพทุบายและการทรยศ[39] เบื้องหลังของพระองค์ มีกลุ่มคนระดับสูงในพระราชวังและนักการเมืองที่โดดเด่นนำโดย ออรีลีอาโน โคทินโฮ (ต่อมาคือ ไวส์เคานท์แห่งเซเปติบา) ได้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ "ฝ่ายราชสำนัก" ซึ่งพวกเขาได้สร้างอิทธิพลเหนือยุวจักรพรรดิ บางคนก็ใกล้ชิดกับพระองค์มาก เช่น มาเรียนา เดอ เวอร์นา และเจ้ากรมวัง เปาโล บาร์บอซา ดา ซิลวา[40] พระองค์ทรงถูกใช้เป็นเครื่องมือของข้าราชสำนักในการต่อต้านศัตรูที่แท้จริงหรือคนที่พวกเขาสงสัยว่าเป็นศัตรู[41]

รัฐบาลบราซิลได้รับประกันเจ้าหญิงเทเรซา คริสตินาแห่งราชอาณาจักรซิซิลีทั้งสองเพื่อหมั้นหมายกับจักรพรรดิ พระนางและจักรพรรดิเปดรูที่ 2 ทรงอภิเษกสมรสโดยฉันทะในเนเปิลส์วันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1843[42] แต่เมื่อทรงพบกับพระนางจริงๆ องค์จักรพรรดิทรงผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด[43] พระนางเทเรซา คริสตินาทรงมีพระวรกายเตี้ย ทรงมีน้ำหนักมากและแม้ว่าจะไม่ทรงถึงกับอัปลักษณ์ แต่ก็ไม่ทรงพระสิริโฉม[44] พระองค์ทรงพยายามที่จะซ่อนความท้อแท้เล็กน้อย ผู้สังเกตการณ์คนหนึ่งบอกว่าพระองค์ทรงหันหลังให้แก่พระนางเทเรซา คริสตินา อีกภาพหนึ่งกล่าวว่า พระองค์ทรงตกพระทัยอย่างมากและมีพระประสงค์ที่จะนั่ง และมันก็อาจจะเป็นไปได้หากเหตุการณ์ทั้งคู่เกิดขึ้น[45] ในคืนนั้น จักรพรรดิเปดรูที่ 2 ทรงกันแสงและทรงตรัสกับมาเรียนา เดอ เวอร์นา ว่า "พวกเขาหลอกฉัน ดาดามา!"[46] ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการโน้มน้าวให้พระองค์รู้ถึงหน้าที่ที่ต้องทรงดำเนินต่อไป[47] พิธีศีลสมรสโดยมีการให้สัตย์สาบานผ่านตัวแทนก่อนหน้านี้แล้วและมีการรับพรสมรสในวันต่อมา วันที่ 4 กันยายน[48]

ในช่วงปลายค.ศ. 1845 และต้นค.ศ. 1846 จักรพรรดิได้เสด็จประพาสแคว้นทางตอนใต้ของบราซิล โดยทรงเดินทางผ่านเซาเปาลู (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐปารานาในขณะนั้น), รัฐซันตากาตารีนาและรัฐรีโอกรันดีโดซูล พระองค์ทรงพบกับการรับเสด็จอย่างอบอุ่นและกระตือรือร้น[49] ในตอนนั้นจักรพรรดิเปดรูที่ 2 ทรงเจริญพระชันษาสมบูรณ์ทั้งพระวรกายและจิตใจ พระองค์ทรงเจริญพระชันษาด้วยความสูง 1.90 เมตร (6 ฟุต 3 นิ้ว)1.90 เมตร (6 ฟุต 3 นิ้ว)convert: bug[50][51] ด้วยพระเนตรสีฟ้าและพระเกศาสีบลอนด์ทอง[52] ทรงพระสิริโฉมหล่อเหลา[53] เมื่อทรงเจริญพระชันษา จุดอ่อนของพระองค์ได้จางหายไปและจุดแข็งทางบุคลิกภาพของพระองค์ได้เด่นขึ้นมา พระองค์ทรงมีความมั่นพระทัยและมีความรู้ไม่เพียงแต่ทรงมีความเป็นธรรมและความขยันหมั่นเพียรเท่านั้น แต่ยังทรงสุภาพ อดทนและสง่างาม บาร์แมนได้กล่าวว่า พระองค์ยังคง"มีอารมณ์ของพระองค์ภายใต้ระเบียบวินัยเหล็ก พระองค์ไม่ทรงเคยหยาบคายและไม่เคยมีพระอารมณ์ที่ไม่ดี พระองค์ทรงเป็นคนที่รอบคอบเป็นพิเศษในด้านการพูดและความระมัดระวังในการกระทำ"[54] สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้คือ เป็นจุดสิ้นสุดของอำนาจจากฝ่ายราชสำนัก จักรพรรดิเปดรูที่ 2 ทรงได้รับการรับรองพระราชอำนาจอย่างเต็มที่และทรงประสบความสำเร็จในการวางแผนทำให้สิ้นสุดอิทธิพลของข้าราชสำนักโดยการปลดพวกเขาออกจากวงในของพระองค์ ในขณะที่ทรงหลีกเลี่ยงที่จะทำให้เกิดความแตกแยกในสาธารณะ[55]

การยกเลิกการค้าทาสและสงคราม

จักรพรรดิเปดรูที่ 2 ขณะมีพระชนมายุ 22 พรรษา ราวปีค.ศ. 1848 นี้เป็นพระบรมฉายาลักษณ์รูปแรกๆที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของจักรพรรดิ

จักรพรรดิเปดรูที่ 2 ตอ้งเผชิญกับวิกฤตการณ์ถึงสามครั้งระหว่างปีค.ศ. 1848 และ 1852[56] ครั้งแรกคือการเผชิญหน้ากับการลักลอบนำเข้าทาสอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในปีค.ศ. 1826 ในส่วนสนธิสัญญากับสหราชอาณาจักร[57] การค้าทาสยังคงมีอย่างไม่ลดน้อยถอยลง แต่รัฐบาลอังกฤษตามพระราชบัญญัติอเบอร์ดีนปีค.ศ. 1845 ได้อนุญาตให้เรื่อรบอังกฤษขึ้นเรือของบราซิลและยึดครองเมื่อพบว่ามีการกระทำใดๆที่เกี่ยวข้องกับการค้าทาส[58] ในขณะที่บราซิลกำลังต่อสู้กับปัญหานี้ กบฏไปรเอราได้เกิดขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1848 นี่เป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นภายในรัฐเปร์นัมบูกู ซึ่งในที่สุดถูกปราบในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1849 กฎหมายยูซีบิโอเดกูเอโรส (Eusébio de Queirós Law)ได้ถูกประกาศใช้ในวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1850 ซึ่งทำให้รัฐบาลบราซิลมีอำนาจในวงกว้างที่จะทำการต่อสู้กับการค้าทาสที่ผิดกฎหมาย ด้วยเครื่องมือใหม่นี้ บราซิลได้ย้ายไปกำจัดการนำเข้าทาส ในปีค.ศ. 1852 วิกฤตครั้งแรกนี้ได้สิ้นสุด และอังกฤษได้ยอมรับว่าการค้าทาสนี้ได้ถูกปราบปรามสิ้นแล้ว[59]

วิกฤตครั้งที่สามเป็นความขัดแย้งกับสมาพันธรัฐอาร์เจนตินาเกี่ยวกับความพยายามครอบครองดินแดนที่ติดกับรีโอเดลาปลาตาและระบบการคมนาคมทางน้ำอย่างเสรี[60] นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1830 ผู้นำเผด็จการอาร์เจนตินาคือ ฮวน มานูเอล เดอ โรสซัสได้สนับสนุนการกบฏภายในอุรุกวัยและบราซิล เพียงในปีค.ศ. 1850 บราซิลก็สามารถรับมือกับภัยคกคามที่สนับสนุนโดยโรสซัสได้[60] พันธมิตรที่ก่อตัวขึ้นระหว่างบราซิล, อุรุกวัยและชาวอาร์เจนตินาที่ไม่พอใจ[60] ชักนำไปสู่สงครามพลาทีนและการล้มล้างผู้นำอาร์เจนตินาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1852[61][62] บาร์แมนได้กล่าวว่า "เมื่อพิจารณาถึงเกียรติยศควรจะ...มอบให้กับองค์จักรพรรดิ ผู้ทรงมีพระทัยเย็น, ความยืนหยัดในสิ่งที่ประสงค์และความรู้สึกของความเหมาะสมในสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น"[56]

การนำทางที่ประสบความสำเร็จของจักรวรรดิต่อวิกฤตเหล่านี้ได้เพิ่มความมั่นคงและศักดิ์ศรีของประเทศอย่างมาก และบราซิลได้กลายเป็นมหาอำนาจของซีกโลก[63] ในสากลโลก ชาวยุโรปพยายามมองประเทศในฐานะเป็นสิ่งที่รวบรวมอุดมการณ์เสรีนิยมที่เหมือนๆกัน เช่น เสรีภาพของสื่อและการเคารพรัฐธรรมนูญเพื่อเสรีภาพ ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญแบบรัฐสภายังคงยืนอยู่ขั้วตรงข้ามกับการผสมผสานของเผด็จการและความไม่มั่นคงที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นของประเทศอื่นๆในลาตินอเมริกาช่วงเวลานี้[64]